ก่อนอื่นต้องบอกว่า “10 ประเทศอากาศดีที่สุดในโลก” ในที่นี้ ไม่ได้หมายถึงประเทศที่มีอากาศบริสุทธิ์หรือเป็นแหล่งโอโซน แต่เป็นประเทศที่มีสภาพอากาศเอื้ออำนวยต่อการอพยพย้ายถิ่นฐาน ไม่ว่าจะเป็นการย้ายไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ ย้ายไปใช้ชีวิตบั้นปลายหลังเกษียณ หรือเมื่อต้องการซื้อบ้านหลังที่สอง เป็นต้น
ทั้ง 10 ประเทศที่จะกล่าวถึงต่อไปนี้ มีสภาพอากาศโดยรวมที่ไม่แปรปรวน ไม่ร้อนหรือหนาวจัดจนเกินไป และไม่ใช่ประเทศที่อยู่ในเขตมรสุมที่มีฝนตกชุกตลอดทั้งปี (แม้ว่าภายในประเทศนั้นๆ จะมีบางพื้นที่ ที่หนาวจัด ร้อนจัด หรือฝนตกชุก แต่ก็สามารถเลือกอยู่ในเมืองที่มีอากาศดีกว่าได้)
บทความนี้จัดทำขึ้นโดย “อินเตอร์ เนชั่นแนล ลีฟวิ่ง” ผู้เชี่ยวชาญและที่ปรึกษาด้านการใช้ชีวิตวัยเกษียณในต่างแดน ซึ่งได้ทำการสำรวจและนำมาเผยแพร่ให้สมาชิก ตลอดจนผู้ที่ต้องการย้ายถิ่นฐานไปอยู่ต่างประเทศได้นำไปใช้เป็นข้อมูลประกอบการพิจารณา (ถึงไม่มีแผนโยกย้าย แต่อ่านแล้วได้ความรู้เพิ่มเติมนะ…จะบอกให้)
1. สาธารณรัฐมอลตา
สำหรับบางท่าน “มอลตา” อาจเป็นประเทศที่ไม่ค่อยคุ้นเคยหรือแทบไม่เคยนึกถึงซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เพราะแม้แต่คนอเมริกันส่วนใหญ่ก็แทบไม่เคยได้ยินหรือรู้จักประเทศมอลตาเลย (ที่นั่นมีคนไทยอาศัยอยู่ และมีร้านอาหารไทย 2 ร้าน – ข้อมูลจากกระทรวงต่างประเทศ)
สาธารณรัฐมอลตา เป็นประเทศหมู่เกาะที่ตั้งอยู่ในทะเลเมดิเตอร์เรเนียนทางตอนใต้ของยุโรป (ถัดลงมาทางตอนใต้ของประเทศอิตาลี) โดยอยู่ห่างจากเกาะซิซิลีของประเทศอิตาลีราว 60 ไมล์ (97 ก.ม.)
สภาพอากาศที่มอลตาถือว่าดีมากเมื่อเทียบกับประเทศส่วนใหญ่ในยุโรป กล่าวคือ มีอุณหภูมิเฉลี่ย 21 องศาเซลเซียสในเวลากลางวัน มีแสงแดดเฉลี่ยวันละ 5.2 ช.ม. ไม่เว้นแม้กระทั่งในเดือนธันวาคม (ขณะที่หลายประเทศในแถบยุโรปกำลังมีหิมะตก หนักและต้องเผชิญกับสภาพอากาศที่หนาวเหน็บ แต่มอลตากลับแทบไม่เคยได้สัมผัสหิมะเลย) อย่างไรก็ตาม มอลตาอาจมีฝนตกหนักบ้างบางช่วง แต่มักเกิดขึ้นเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ เท่านั้น
น่าเสียดายที่เกาะมอลตามีหาดทรายไม่กี่แห่ง แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาเพราะบนเกาะมอลตามีกิจกรรมให้ทำมากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงฤดูร้อนซึ่งจะมีงานรื่นเริงให้ร่วมเฉลิมฉลองกันอย่างสนุกสนาน และมีการจุดดอกไม้ไฟอย่างยิ่งใหญ่ตระการตา
หากคุณเป็นคนหนึ่งที่ชื่นชอบการดำน้ำและล่องเรือใบ มอลตาจะเป็นสวรรค์สำหรับคุณ แต่ถ้าใครไม่ค่อยปลื้มกีฬาทางน้ำก็ยังมีกิจกรรมอื่นๆ ให้ทำอีกมากมาย อาทิ ตีกอล์ฟ ขี่ม้า แข่งวิ่ง ฯลฯ หรือถ้าชอบดูหนัง ฟังเพลงคลาสสิก ท่ามกลางบรรยากาศเก่าๆ แบบย้อนยุค ในเมืองหลวงของมอลต้าที่มีชื่อว่า “วัลเลตตา” ยังเป็นที่ตั้งของโรงภาพยนตร์เก่าแก่เป็นอันดับ 2 ของยุโรป ซึ่งที่นั่นจะมีการแสดงโอเปร่า ละครเวที ฉายภาพยนตร์ รวมถึงการแสดงดนตรี และบัลเล่ต์ ให้ชมกันอย่างจุใจตลอดช่วงเดือนตุลาคม-พฤษภาคม
2. สาธารณรัฐเอกวาดอร์
เอกวาดอร์ อยู่ทางฝั่งตะวันตกเฉียงเหนือของทวีปอเมริกาใต้ โดยตั้งอยู่ในบริเวณเส้นศูนย์สูตร พรมแดนทางตอนเหนือจรดโคลัมเบีย ทางตะวันออกและทางใต้ติดกับประเทศเปรู และมีชายฝั่งทางตะวันตกติดมหาสมุทรแปซิฟิก
ด้วยความที่ตั้งอยู่บริเวณเส้น ศูนย์สูตร เอกวาดอร์ (ทั้งประเทศ) จึงได้รับแสงแดดแบบเต็มๆ ถึง 12 ช.ม. ต่อวัน และ 365 วันต่อปี แต่เนื่องจากเอกวาดอร์มีสภาพภูมิประเทศที่แตกต่างกัน 3 ลักษณะ กล่าวคือประกอบด้วย พื้นที่ๆ เป็นภูเขา ป่าฝน และพื้นที่แถบชายฝั่งทะเลแปซิฟิก ดังนั้นในแต่ละพื้นที่จึงมีสภาพอากาศที่แตกต่างกัน
ตัวอย่างเช่น เมืองหลวงของประเทศเอกวาดอร์ที่มีชื่อว่า “กิโต้” ซึ่งตั้งอยู่ในเซ็นทรัล วัลเล่ย์ และถูกโอบล้อมโดยแนวเขาแอนเดรีย (บนเทือกเขาแอนดีส) ทั้งทางทิศตะวันออกและตะวันตก โดยมีเส้นศูนย์สูตรพาดผ่านห่างไปทางตอนเหนือของเมืองเพียง 20 ไมล์ (32 ก.ม.) ทั้งยังอยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเลถึง 9,350 ฟุต (2,849 เมตร) [เป็นเมืองหลวงที่อยู่สูงที่สุดเป็นอันดับ 2 ของโลก] ทำให้กิโต้มีสภาพอากาศเหมือนอยู่ในฤดูใบไม้ผลิตลอดทั้งปี โดยมีอุณหภูมิเฉลี่ยที่ประมาณ 24 องศาเซลเซียสในเวลากลางวัน และ 10-13 องศาเซลเซียสในช่วงเวลากลางคืน
อากาศที่เมืองกิโต้นั้นค่อนข้างแห้ง และไม่มียุง โดยปกติในช่วงเวลากลางวันคุณสามารถออกไปเดินเล่นข้างนอกโดยสวมเพียงเสื้อยืด กางเกงขาสั้น แต่บางวันอาจถึงกับต้องสวมเสื้อกันหนาวขนสัตว์ หากมีเมฆหนาปกคลุมจนบดบังแสงอาทิตย์ไปทั่วทั้งเมือง (อย่าลืมว่ากิโต้เป็นเมืองหลวงที่อยู่สูงเป็นอันดับ 2 ของโลก จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะใช้ชีวิตบนความสูงระดับเดียวกับเมฆ) ดังนั้น หากใครชื่นชอบสภาพอากาศที่ค่อนข้างอบอุ่น ก็ต้องไปอาศัยอยู่ในเมืองแถบชายฝั่งทะเล
3. สาธารณรัฐเม็กซิโก
เม็กซิโกตั้งอยู่ทางตอนใต้ของสหรัฐอเมริกา ทิศเหนือติดสหรัฐฯ ทิศใต้ติดกัวเตมาลาและเบลิซ ทิศตะวันออกติดอ่าวเม็กซิโกและทะเลแคริบเบียน ส่วนทิศตะวันตกติดมหาสมุทรแปซิฟิกและอ่าวแคลิฟอร์เนีย
ประเทศเม็กซิโกมีสภาพอากาศที่หลากหลาย ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความสูงของพื้นที่ ตลอดจนกระแสลมและน้ำในมหาสมุทรแปซิฟิก… พื้นที่ บริเวณชายฝั่งของประเทศเม็กซิโกจะมีสภาพภูมิอากาศแบบเขตร้อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณแหลมยูกาตังและพื้นที่ลุ่มต่ำทางตอนใต้ของประเทศ ส่วนพื้นที่ๆ อยู่บนความสูงเหนือระดับน้ำทะเลตั้งแต่ 900 เมตรขึ้นไปจะมีสภาพอากาศที่ค่อนข้างเย็น
ปริมาณน้ำฝนโดยเฉลี่ยของเม็กซิโกจะอยู่ที่ประมาณ 40 นิ้ว และในบางช่วงของปีพื้นที่บริเวณอ่าวเม็กซิโก รวมถึงบริเวณชายฝั่งทะเลแคริบเบียนและแปซิฟิกอาจมีพายุเฮอร์ริเคนเกิดขึ้น ได้ ส่วนในบางพื้นที่แถบบาฮา และทางตอนเหนือของประเทศกลับแทบไม่มีฝนตกเลยตลอดทั้งปี
4. สาธารณรัฐโคลัมเบีย
โคลัมเบีย ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของทวีปอเมริกาใต้ ทิศเหนือติดทะเลแคริบเบียน ทิศตะวันออกติดเวเนซุเอลาและบราซิล ทิศใต้ติดเปรูและเอกวาดอร์ ทิศตะวันตกติดมหาสมุทรแปซิฟิกและปานามา
เนื่องจากประเทศโคลัมเบีย ตั้งอยู่ ใกล้เส้นศูนย์สูตร สภาพอากาศโดยทั่วไปจึงมีลักษณะร้อนชื้นและมีอุณหภูมิคงที่ตลอดทั้งปี หากจะมีอุณหภูมิแตกต่างไปจากเดิมบ้าง (เพียงเล็กน้อย) ก็มีสาเหตุอันเนื่องมาจากฝนตกนั่นเอง
ระดับอุณหภูมิของโคลัมเบียจะเริ่มตั้งแต่ร้อนมากบนพื้นที่ระดับน้ำทะเล และจะค่อยๆ มีอุณหภูมิต่ำลงบนพื้นที่ๆ ที่อยู่สูงขึ้นไป โดยพื้นที่ทางด้านตะวันออกของชายฝั่งทะเลแคริบเบียนและแปซิฟิก จะมีอุณหภูมิและความชื้นสูงตลอดทั้งปี มีปริมาณน้ำฝนต่อปีโดยเฉลี่ย 40 นิ้ว ส่วนพื้นที่บนภูเขาอากาศจะเย็นลงโดยมี ลม ระดับความสูง และลักษณะภูมิประเทศเป็นตัวแปรที่สำคัญ
สำหรับโบโกตา ซึ่งเป็นเมืองหลวงของโคลัมเบีย ตั้งอยู่บนความสูงเหนือระดับน้ำทะเล 8,660 ฟุต (2,640 เมตร) ที่นั่นจะมีฝนตกโดยเฉลี่ย 223 วันต่อปี และมีอุณหภูมิเฉลี่ยที่ 14 องศาเซลเซียส ส่วนอุณหภูมิเฉลี่ยตลอดทั้งปีจะอยู่ที่ 15 องศาเซลเซียส
5. ประเทศออสเตรเลีย
ออสเตรเลีย เป็นประเทศที่ประกอบด้วยแผ่นดินหลักของทวีปออสเตรเลีย เกาะแทสเมเนีย รวมถึงเกาะอื่นๆ ในมหาสมุทรอินเดีย แปซิฟิก และมหาสมุทรใต้ ประเทศนี้มีสภาพอากาศที่หลากหลาย แต่เนื่องจากพื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศเป็นทะเลทรายที่แห้งแล้งและทุรกันดาร(มีขนาดทะเลทรายรวมกันใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลกรองจากทะเลทรายซาฮาราในทวีปแอฟริกา – วิกิพีเดีย) พื้นที่ราว 40% จึงถูกปกคลุมด้วยเนินทราย
คงมีเพียงดินแดนทางตอนใต้ด้านตะวันออกและตะวันตก (มุมล่างขวามือสีฟ้าของแผนที่ประเทศ ) เท่านั้นที่อากาศเย็นและมีผืนดินที่ค่อนข้างอุดมสมบูรณ์ ส่วนทางตอนบนของประเทศมีสภาพอากาศแบบเขตร้อน (สีเขียว) บางพื้นที่เป็นป่าฝน ขณะที่บางส่วนมีอากาศร้อนชื้นแบบศูนย์สูตร (สีน้ำตาล) นอกนั้นเป็นเขตทุ่งหญ้า (สีเหลือง) และทะเลทราย (สีส้ม) อันกว้างใหญ่ไพศาล
ชาวออสเตรเลียส่วนใหญ่อาศัยอยู่บริเวณ ชายฝั่งทางด้านตะวันออกซึ่งมีสภาพอากาศค่อนข้างเย็น และอุดมสมบูรณ์ พื้นที่ส่วนใหญ่ของออสเตรเลียมีแดดออกโดยเฉลี่ยมากกว่า 3,000 ช.ม./ปี โดยในช่วงฤดูร้อน (ธ.ค.-มี.ค.) ที่นั่นจะมีอุณหภูมิเฉลี่ยประมาณ 29 องศาเซลเซียส ส่วนในช่วงฤดูหนาว (มิ.ย.-ส.ค.) จะมีอุณหภูมิโดยเฉลี่ยที่ 13 องศาเซลเซียส
อย่างไรก็ตาม เมื่อเทียบกับทวีปอื่นๆ จะพบว่าออสเตรเลียเป็นทวีปที่แห้งแล้งมาก พื้นที่กว่า 80% ของประเทศมีปริมาณน้ำฝนน้อยกว่า 600 ม.ม.ต่อปี คงมีเพียงทวีปแอนตาร์กติกาเท่านั้น ที่มีปริมาณน้ำฝนน้อยกว่าทวีปออสเตรเลีย จึงเหมาะสำหรับเป็นที่อยู่อาศัยของผู้ที่ชื่นชอบอากาศเย็น และไม่ชอบความเปียกชื้นเฉอะแฉะของฤดูฝน
6. ประเทศอุรุกวัย
อุรุกวัย เป็นประเทศเล็ก ๆ ที่ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของทวีปอเมริกาใต้ ทิศเหนือมีอาณาเขตติดกับประเทศบราซิล ทิศตะวันตกจรดแม่น้ำอุรุกวัย ทิศตะวันตกเฉียงใต้จรดปากแม่น้ำรีโอเดลาปลาตา ส่วนทางด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้จรดมหาสมุทรแอตแลนติกใต้
ประเทศอุรุกวัยมีสภาพอากาศแบบกึ่งร้อน และชื้นในบางพื้นที่ ทั้งยังมีฝนตกบ้างประปราย อย่างไรก็ตาม สภาพอากาศของอุรุกวัยในแต่ละพื้นที่จะไม่แตกต่างกันมากนัก และเนื่องจากประเทศนี้ไม่มีภูเขาจึงทำให้มีกระแสลมไหลเวียนมาจากภูมิภาค อื่นๆ เช่น ในช่วงฤดูร้อนอากาศจะอุ่นถึงร้อน เพราะได้รับอิทธิพลของลมร้อนที่พัดมาจากประเทศบราซิล ส่วนในช่วงฤดูหนาวอากาศจะเย็นถึงหนาว โดยมีกระแสลมที่พัดมาจากขั้วโลกเป็นตัวแปรสำคัญ
ที่สำคัญ อุรุกวัย ไม่มีหิมะ (แต่เคยมีหิมะตก 2 ครั้งในประวัติศาสตร์) ไม่เคยเกิดเฮอร์ริเคน สึนามิ แผ่นดินไหว และไม่มีสภาพอากาศที่หนาวจัด จึงสามารถเดินทางไปเยือนได้ตลอดเวลา แต่เดือนกันยายน-เมษายน จะเป็นช่วงที่มีอากาศดีที่สุด
โดยในช่วงฤดูร้อน ที่อุรุกวัยจะมีอุณหภูมิเฉลี่ยประมาณ 22 องศาเซลเซียส (วัดช่วงเดือน ม.ค.-ก.พ.) ส่วนฤดูหนาวซึ่งเริ่มตั้งแต่เดือนมิถุนายน-กันยายน จะมีอุณหภูมิเฉลี่ย 11 องศาเซลเซียส (วัดช่วงเดือน ก.ค.-ส.ค)
7. สาธารณรัฐอาร์เจนตินา
ประเทศอาร์เจนตินา ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของทวีปอเมริกาใต้ มีพรมแดนด้านตะวันตกติดกับชิลี ทิศเหนือและตะวันออกเฉียงเหนือติดปารากวัย โบลิเวียและบราซิล ส่วนทิศตะวันออกติดกับอุรุกวัยและมหาสมุทรแอตแลนติก
อาร์เจนตินา เป็นอีกหนึ่งประเทศที่มีสภาพอากาศหลากหลายและแตกต่างกันไปในแต่ละพื้นที่ นับตั้งแต่กึ่งร้อนกึ่งอบอุ่น ฝนตกชุก ไปจนถึงขั้นมีหิมะตก โดยตอนเหนือของประเทศจะมีลักษณะอากาศแบบกึ่งร้อน ขณะที่ตอนกลางอากาศจะร้อนชื้น ส่วนทางตอนใต้ของประเทศจะมีสภาพอากาศหนาวเย็น โดยเฉพาะบริเวณตอนใต้สุดของประเทศ ซึ่งจะมีลักษณะอากาศแบบแอนตาร์กติก (เป็นน้ำแข็งตลอดทั้งปี)\
ส่วนพื้นที่ในแถบเทือกเขาแอนดีสจะมี สภาพอากาศที่หลากหลาย ทั้งฝนตก น้ำท่วมฉับพลันในช่วงฤดูร้อน (แถบตะวันออก) อากาศร้อนจัด หิมะตกบริเวณที่สูง และเกิดลมซอนด้า (ลมร้อนและแห้ง มักหอบฝุ่นผงจากพื้นดินขึ้นมาด้วย) เป็นต้น
สำหรับสภาพอากาศในช่วงฤดูหนาวที่ อาร์เจนตินานั้นจะหนาวแบบแห้งๆ ส่วนในช่วงฤดูร้อนอากาศจะร้อนจัด และที่น่ามหัศจรรย์ก็คือ ในช่วงกลางของฤดูหนาว (เดือนมิถุนายน) จะเกิดปรากฏการณ์ “ซาน ควน ซัมเมอร์” ที่อยู่ๆ อุณหภูมิก็สูงขึ้นผิดปกติเสมือนเป็นฤดูร้อนประมาณ 3-7 วัน ชาวอาร์เจนตินาจึงมักพากันออกมานอนอาบแสงแดดอันร้อนแรง ณ บริเวณจตุรัสใจกลางเมือง ทั้งๆ ที่กำลังอยู่ในช่วงกลางฤดูหนาว
8. สาธารณรัฐแอฟริกาใต้
สาธารณรัฐแอฟริกาใต้ เป็นประเทศอิสระที่อยู่ตอนปลายทางใต้สุดของทวีปแอฟริกา มีพรมแดนติดกับ ประเทศนามิเบีย ประเทศบอตสวานา ประเทศซิมบับเว ประเทศโมซัมบิก และ ประเทศสวาซิแลนด์ – วิกิพีเดีย
แอฟริกาใต้เป็นอีกประเทศที่มีสภาพภูมิ อากาศหลากหลาย นับตั้งแต่สภาพอากาศแบบเมดิเตอร์เรเนียนทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ กึ่งร้อนทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ไปจนถึงอากาศหนาวเย็นบริเวณที่ราบสูงตอนใน และสภาพอากาศแบบทะเลทรายทางฝั่งตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศ
อย่างไรก็ตาม พื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศแอฟริกาใต้จะมีอากาศแบบอบอุ่น แดดร้อนในตอนกลางวัน อากาศเย็นในยามค่ำคืน และมีฝนตกในช่วงฤดูร้อน (พ.ย.-มี.ค.) ขณะที่บริเวณตอนล่างทางฝั่งตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศ หรือแถวๆ เมืองเคปทาวน์ (ภาพบน) กลับจะมีฝนตกในช่วงฤดูหนาว (มิ.ย.-ส.ค.)
อย่างไรก็ตาม สภาพอากาศทางตอนเหนือและใต้ของประเทศแอฟริกาใต้มักไม่ค่อยแตกต่างกันมากนัก โดยเคปทาวน์ซึ่งเป็นเมืองหลวงที่ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของประเทศ มีอุณหภูมิเฉลี่ยทั้งปีที่ 17 องศาเซลเซียส ขณะที่พรีโทเรียซึ่งตั้งอยู่ทางตอนเหนือ (อุดมไปด้วยดอกไม้สีม่วง) มีอุณหภูมิเฉลี่ยตลอดทั้งปีที่ 17.5 องศาเซลเซียส
9. สาธารณรัฐอิตาลี
อิตาลี ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของทวีปยุโรปและตอนเหนือของแอฟริกา โดยมีลักษณะเป็นคาบสมุทรยื่นออกไปในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน พื้นที่ร้อยละ 75 เป็นภูเขาและที่ราบสูง ทิศเหนือติดประเทศสวิตเซอร์ แลนด์และออสเตรีย ทิศใต้ติดทะเลเมดิเตอร์เรเนียนและทะเลไอโอเนียน ทิศตะวันตกติดประเทศฝรั่งเศสและทะเลไทเรเนียน ทิศตะวันออกติดทะเลอาเดรียติก และอยู่ตรงข้ามกับสโลเวเนีย โครเอเชีย บอสเนีย มอนเตเนโกร และแอลเบเนีย
อิตาลีถือเป็นอีกหนึ่งประเทศในแถบ ยุโรปที่มีอากาศดี แต่จะมีลักษณะอากาศที่หลากหลายและแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงในแต่ละพื้นที่ โดยในช่วงฤดูหนาวที่บริเวณอิตาเลียน แอลป์ส อากาศจะหนาวเย็น ท้องฟ้าปลอดโปร่ง และมีหิมะตก ขณะที่มิลานมักมีหมอกหนา ส่วนที่โป วัลเลย์ อากาศจะหนาวและชื้น แต่โดยทั่วไปในช่วงฤดูหนาวที่อิตาลีมักมีหมอกลงหนาใน แถบภาคกลางและภาคเหนือของประเทศ
บริเวณที่มีอากาศในช่วงฤดูหนาวดีที่ สุดคือ แถบชายฝั่งอามัลฟี หรือที่เรียกว่า “อิตาเลี่ยน ริเวียร่า” รวมทั้งที่หมู่เกาะซิซิลีและซาร์ดิเนีย เพราะบริเวณดังกล่าวอากาศจะไม่หนาวมาก และไม่มีฝนตกหนัก ส่วนในช่วงฤดูร้อน ยิ่งลงไปทางตอนใต้ของประเทศมากเท่าไหร่ อากาศก็ยิ่งร้อนมากขึ้นเท่านั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแคว้นปูเกลีย (ส่วนที่มีลักษณะเหมือนส้นสูงของรองเท้าบูทในแผนที่) ซึ่งจะมีอุณหภูมิเฉลี่ยประมาณ 27 องศาเซลเซียสในเดือนสิงหาคม
บริเวณที่มีอากาศในช่วงฤดูหนาวดีที่ สุดคือ แถบชายฝั่งอามัลฟี หรือที่เรียกว่า “อิตาเลี่ยน ริเวียร่า” รวมทั้งที่หมู่เกาะซิซิลีและซาร์ดิเนีย เพราะบริเวณดังกล่าวอากาศจะไม่หนาวมาก และไม่มีฝนตกหนัก ส่วนในช่วงฤดูร้อน ยิ่งลงไปทางตอนใต้ของประเทศมากเท่าไหร่ อากาศก็ยิ่งร้อนมากขึ้นเท่านั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแคว้นปูเกลีย (ส่วนที่มีลักษณะเหมือนส้นสูงของรองเท้าบูทในแผนที่) ซึ่งจะมีอุณหภูมิเฉลี่ยประมาณ 27 องศาเซลเซียสในเดือนสิงหาคม
10. สาธารณรัฐฝรั่งเศส
ฝรั่งเศส ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของทวีปยุโรป ทิศเหนือติดกับช่องแคบอังกฤษ ประเทศเบลเยียม และลักเซมเบิร์ก ทิศตะวันออกติดกับเยอรมนี สวิตเซอร์แลนด์ และอิตาลี ทิศตะวันตกติดกับมหาสมุทรแอตแลนติก ส่วนทิศใต้ติดกับทะเลเมดิเตอร์เรเนียน อันดอร์รา และสเปน
โดยทั่วไปฝรั่งเศสเป็นประเทศที่มีอากาศเย็น แต่ก็มีสภาพอากาศที่หลากหลายและแตกต่างกันไปในแต่ละภูมิภาค อุณหภูมิเฉลี่ยในช่วงฤดูหนาวจะอยู่ที่ประมาณ 0-7 องศาเซลเซียส ส่วนในช่วงฤดูร้อนจะมีอุณหภูมิเฉลี่ย 16-24 องศาเซลเซียส
หากใครชื่นชอบอากาศอบอุ่นและแสงแดด เจิดจ้า ขอแนะนำให้ไปที่แคว้นมีดี (Midi) ซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของประเทศฝรั่งเศส หรือไม่ก็ไปที่แคว้นโพรวองซ์และแคว้น ลองเกอด็อก ที่ในช่วงฤดูหนาวอากาศจะไม่หนาวจัด ส่วนในช่วงฤดูร้อนอากาศจะร้อนเอาเรื่อง (สำหรับฝรั่ง) เลยทีเดียว
สำหรับเมืองที่อยู่ทางตอนกลางและค่อน ไปทางด้านทิศเหนืออย่างกรุงปารีสนั้น จะมีสภาพอากาศค่อนข้างเย็นและมักมีฝนตก แต่อากาศจะค่อนข้างร้อนในช่วงฤดู ร้อน ส่วนพื้นที่ในแถบตะวันออกอย่างแคว้นอัลซาซ (เมืองหลวงคือ สตราสบูร์ก) แคว้นลอร์แรน รวมถึงบริเวณเทือกเขาแอลป์ เทือกเขาปีเรเนส์ และที่ราบสูงมาสซิฟ ซองตราล จะมีสภาพอากาศที่หนาวเย็นจัดในช่วงฤดูหนาว