หน้าเว็บ

วันศุกร์ที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2555

10 อันดับมอเตอร์ไซค์ที่มีราคาแพงที่สุดในโลกปี 2012



     10 อันดับมอเตอร์ไซค์ที่มีราคาแพงที่สุดในโลกปี 2012

วันนี้ 'ที่สุดของโลก' ได้นำข้อมูลและเรื่องราวเกี่ยวกับ 10 อันดับมอเตอร์ไซค์ที่มีราคาแพงที่สุดในโลกปี 2012 มากฝากเพื่อนๆ ทุกคน ให้ได้รับชมกันอีกแล้ว ซึ่งจะมีเนื้อหาอย่างไรนั้นก็ไปรับชมกันได้เล


                                            
 10. Neiman Marcus Limited Edition Fighter


ประเดิมคันแรกกันที่มอเตอร์ไซค์ซึ่งเกิดจากความร่วมมือกันของบรรดาบริษัทยานยนต์ ชื่อของมันคือ “Neiman Marcus Limited Edition Fighter” เป็น 2 ล้อสุดเท่ที่สร้างจากเหล็กทั้งคัน พร้อมกับรูปลักษณ์ที่แสนจะโดดเด่นไม่ซ้ำใคร กับค่าตัวที่อาจทำให้ใครหลายคนกระเป๋าฉีกได้สบาย เพราะแค่อันดับที่ 10 ราคาก็ปาเข้าไปที่ 110,000 เหรียญ หรือประมาณ 3,275,800 บาท แล้ว


                                                 9. Coventry Eagle Flying – 8 (1928)


สำหรับเจ้า 2 ล้อคันต่อมามีชื่อว่า Coventry Eagle Flying – 8” ผลิตโดย Royal Eagle ใครที่คิดว่าเจ้านี่หน้าตาโบราณ บอกได้เลยว่าไม่แปลก เพราะมันถูกผลิตออกจำหน่ายครั้งแรกตั้งแต่ปี 1928 หรือ 80 กว่าปีมาแล้ว แต่กระนั้นปัจจุบันคุณก็ยังสามารถพบเห็นมันโลดแล่นอยู่บนท้องถนนได้แม้จะไม่บ่อยนัก แถมประวัติศาสตร์ของเจ้า Coventry Eagle ยังถือได้ว่ายิ่งใหญ่ไม่แพ้มอเตอร์ไซค์คันไหนอีกด้วย มีคนดังหลายคนที่มีมันไว้ในครอบครองเป็นไม่ว่าจะเป็น บรูซ สมิธ (Bruce Smith), สตีเวน บรอดบริดจ์ (Stephen Broadbridge), จอห์น เอลลิส (John Ellis) และ เคน ฮอดจ์สัน (Ken Hodgson) ส่วนราคาของมันอยู่ที่ประมาณ 120,000 เหรียญ หรือ 3,573,600 บาท

                                                          8. Harley-Davidson Rocker

อันดับ 8 ตกเป็นของ “Harley-Davidson Rocker” จากผู้สร้างขาใหญ่แบรนด์ดังก้องโลก ฮาร์เล่ย์-เดวิดสัน ที่ถูกนำมาปรับแต่งใหม่ตลอดทั้งคันโดยบริษัทปรับแต่งรถชื่อดัง House-of-Thunder ดูจากภาพแล้วแสนจะเข้ากั๊นเข้ากันกับเรือยอร์ชมูลค่า 22 ล้านเหรียญด้านหลัง ขณะที่เจ้า Rocker สีขาวนั้นติดป้ายราคาไว้ที่ 130,000 เหรียญ หรือ 3,871,400 บาท

                                                            7. Hildebrand & Wolfmüller

นี่คือมอเตอร์ไซค์เก่าเก็บของแท้เพียงหนึ่งเดียวที่ติดอยู่ในทำเนียบ 10 อันดับสองล้อที่แพงที่สุดในโลก กับอายุที่มากถึง 115 ปี มันคือสุดยอดความพิเศษหนึ่งเดียวจากHildebrand & Wolfmüller ต้นกำเนิดที่ทำให้รถ 2 ล้อที่ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ได้รับการขนานนามว่า “มอเตอร์ไซค์” (Motorcycle) เป็นครั้งแรก และแน่นอนว่าด้วยประวัติที่เลอเลิศขนาดนี้ ราคาย่อมต้องเลิศเลอไปด้วยกับมูลค่า 150,000 เหรียญ หรือ 4,467,000 บาท เห็นเก่าๆ แพงๆ อย่างนี้อย่าคิดว่าไม่มีใครสนใจ เพราะความหายากและทรงคุณค่าของมันทำให้บรรดานักสะสมรถในอเมริกายอมทุ่มเงินไม่อั้นเพื่อให้ได้มันมาเป็นส่วนหนึ่งของคอลเล็กชั่นเลยทีเดียว

                                                      6.Hub-less Harley-Davidson

คว้ามาได้อีกอันดับสำหรับคัสตอมไบค์สีเขียวสดใสจากค่ายฮาร์เล่ย์ฯ ที่ Howards Killer Customs ลงมือปรับแต่งให้มีความโดดเด่นสะดุดตายิ่งขึ้น โดยเฉพาะการติดตั้งล้อแบบ Hub less หรือล้อแบบไม่มีแกน ที่ทำให้เจ้าชอปเปอร์คันนี้ดูแตกต่างจากอันดับอื่นๆ อย่างเห็นได้ชัด พร้อมกับราคาที่พุ่งกระฉูดไปถึง 155,000 เหรียญ หรือ 4,620,550 บาท


5. Ecosse FE Ti XX – Titanium Series

“Ecosse FE Ti XX” ไม่ได้มีดีเพียงแค่ราคาแพงแสนแพงถึง 300,000 เหรียญ หรือประมาณ 8,943,000 บาท มากกว่าอันดับ 6 ถึง 2 เท่า เท่านั้น แต่มันยังได้ชื่อว่าเป็นรถที่สวยงามที่สุดคันหนึ่งใน Titanium Series ที่ผลิตโดยบริษัทที่มีชื่อเสียงอย่าง Ecosse Motor Works อีกด้วย โดยมาพร้อมกับขุมพลังที่น่าพิศวงอย่างเครื่องยนต์อะลูมิเนียมที่ให้กำลังถึง 225 แรงม้า ซึ่งตอนนี้ทางผู้ผลิตเปิดให้ผู้สนใจสามารถสั่งจองได้แล้ว ขณะที่ประเทศจีนได้รับเกียรติให้เป็นผู้เปิดประเดิมสินค้าล็อตแรก

                                                    4.Legendary British Vintage Black

สำหรับเจ้า 2 ล้อเครื่อง “Legendary British Vintage Black” สามารถครองอันดับที่ 4 ได้เพราะความพิเศษเพียงหนึ่งเดียวและความเป็นรถโบราณในตัวของมันเอง แม้มันจะไม่ใช่รถที่มีความเร็วกมากมายแต่ก็เก่าแก่มากพอที่จะทำให้ค่าตัวของมันสูงถึง 400,000 เหรียญ หรือคิดเป็นเงิน 11,924,000 บาท ทิ้งห่างอันดับ 5 ไปไกลชนิดไม่เห็นฝุ่น

                                                   3. Gold-Plated Custom Chopper

เปล่งประกายแวววาวพราวระยับเลยทีเดียว สำหรับอันดับ 3 Gold-Plated Custom Chopper” ซึ่งเปิดตัวครั้งแรกในงาน International Motorcycle Show เมืองซีแอตเทิล รัฐวอชิงตัน ที่ให้ภาพลักษณ์ความเป็น “มอเตอร์ไซค์โชว์” มากกว่ามอเตอร์ไซค์ที่ขี่เล่นทั่วไปด้วยการชุบทองส่วนที่เป็นโลหะทั้งหมด กับสนนราคา 500,000 เหรียญ หรือราว 14,905,000 บาท แต่เชื่อเถอะว่าหากคุณเป็นเจ้าของก็คงไม่อยากเอาเจ้า “ทองติดล้อ” คันนี้ไปออกไปซิ่งเท่าไหร่หรอก เพราะถ้าหายขึ้นมาคงได้นั่งน้ำตาเช็ดหัวเข่าแน่ๆ

                                                           2. Ultra-rare Porcupine

มาที่อันดับ 2 กันบ้าง กับอีกหนึ่งในบรรดามอเตอร์ไซค์ที่ “โคตรหายาก” อย่าง Ultra-rare Porcupine” สองล้อสัญชาติอังกฤษที่ทาง AJS ผลิตขึ้นตั้งแต่สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2โดยเจ้าคันที่เห็นอยู่นี้ถูกจัดแสดงอยู่ที่ National Motorcycle Museum ในเมืองโคเวนทรี ตลอดช่วง 2 ทศวรรษที่ผ่านมา แต่ตอนนี้ทางพิพิธภัณฑ์กลับปล่อยขายแล้วด้วยค่าตัวราว 750,000 เหรียญ หรือประมาณ 22,357,500 บาท


                                             1. Million Dollar Harley by Jack Armstrong

ในที่สุดก็มาถึงอันดับ 1 ที่ฟังแค่ชื่อก็รู้ว่าแพงแล้วกับเจ้า Million Dollar Harley” จากค่ายบิ๊กเบิ้ม ฮาร์เล่ย์-เดวิดสัน อีกเช่นเคย แถมยังสามารถคว้าตำแหน่ง “มอเตอร์ไซค์คันแรกที่มีราคาทะลุหลักล้าน” มาครองได้อีกด้วย โดยผู้ที่ออกแบบเจ้ารถ “โคตรแพง” นี้ก็คือ แจ็ค อาร์มสตรอง (Jack Armstrong) ผู้มีชื่อเสียงดังกระฉ่อนจากสไตล์งานเพ้นท์ “Cosmic Extensional”  ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว กับราคา 1 ล้านเหรียญ หรือ 29,810,000 บาท เท่านั้นเอง

วันศุกร์ที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2555

10 ข้อห้าม (ที่ห้ามไม่ได้)



            การลืมใครสักคนมันช่างยากเย็นและต้องใช้ความพยายามอย่างที่สุด
   ฉันมีวิธี 10 วิธีมานำเสนอที่ฉันใช้บอกตัวเองเสมอให้ทำให้ได้เพื่อลืมใครบางคน
 แต่ขอบอกไว้ก่อนว่า 10 วิธีนี้อาจจะใช้ไม่ได้ผลกับใครบางคนและไม่รับรองว่าจะ
 ได้ผล 100 เปอร์เซ็นต์ แค่เอามาเล่าสู่กันฟัง ถึงวิธี "คลาย(ควาย)ความเศร้า"
1. อย่าไปในที่ที่เคยมีความทรงจำร่วมกัน หลายๆครั้งที่เราต้องย้อนกลับไปในที่เดิมๆ ที่ๆมีความหลังมากมายร่วมกันนั้น อาจจะทำให้คุณบ่อน้ำตาแตกได้ ยิ่งถ้าที่เหล่านั้นเป็นที่ที่เคยมีความทรงจำที่ดีๆร่วมกัน ขอบอกว่าได้เหยียบไปที่เหล่านั้นเลย ทรมานสุดๆ (แต่รู้สึกตัวทีไร ก็เดินอยู่ในที่ที่เคยมาด้วยกัน)

2. อย่านั่งหรือค้นรูปเก่าๆขึ้นมาดู เพราะยิ่งดูยิ่งนึกถึงวันคืนเก่าๆที่เคยได้ใช้เวลาร่วมกัน ยิ่งอยากย้อนความรู้สึก อยากย้อนเวลาไปในห้วงความสุข มันเหมือนความฝันที่ทำให้เรามีรอยยิ้มเมื่อได้หวนคิดย้อนถึง แต่พอลืมตาขึ้นมาเราต้องเผชิญความจริงที่แสนเดียวดายในโลกความจริง ว่าเขาไม่ได้อยู่กับเราอีกต่อไปแล้ว แนะนำให้ตัดใจทิ้งมันไป เผาทิ้งได้ยิ่งดี จะได้ไม่ต้องไปนั่งคุ้ยขยะเก็บกลับเข้ามาใหม่(แต่คนเขียนได้แต่พูด ก็ยังตัดใจทิ้งไปไม่ได้สักที)

3. อย่าเก็บของใช้ต่างๆที่เขาเคยใช้  ยกตัวอย่างง่ายๆ แปรงสีฟันที่เขาเคยใช้ ทุกครั้งที่เราแปรงฟันก็มักจะเหลียบไปเห็นแปรงสีฟันของเขา ของใช้ต่างๆที่เขาเคยใช้ในชีวิตประจำวัน ชีวิตที่เคยใช้เวลาร่วมกัน เห็นไปก็ได้แต่หลอกตัวเองและหวังไปลมๆแร้งๆว่าสักวันเขาจะกลับมาหาเรา กลับมาใช้ของเหล่านั้น เก็บไว้ทรมานใจโยนทิ้งไปดีที่สุด (แต่ผมก็ยังคงเก็บไว้ตัดใจทิ้งไม่ลงเช่นเคย)

4. อย่ายกโทรศัพท์โทรหาเขา เพราะการคิดถึงเขามากๆ มักทำให้เราไม่เป็นตัวของตัวเอง ขาดการควบคุมตัวเองอยู่บ่อยๆ รู้สึกตัวอีกทีก็กดเบอร์โทรหาเขาอีก และมันจะเจ็บปวดเมื่อเขาไม่รับสาย หรือที่แย่กว่าคือตัดสายเราทิ้งหรือปิดมือถือหนีไปเลย หรือต่อให้เขารับสาย การสนทนาของเราก็จะไม่มีวันกลับไปเหมือนเดิม สุ่มเสียงที่เย็นชาหมดรักมักทำให้เจ็บปวดถึงข้างใน (แต่ผมก็อดใจไม่ได้ที่จะกดสายไปหาเขา แม้เขาไม่เคยรับอีกเลยก็ตาม)

5. อย่ารับสายเมื่อเขาโทรมา ให้เข้าใจกันว่า เขาคงเหงาและไม่มีใคร เลยนึกถึงเรา ซึ่งเป็นของตายสำหรับเขา แต่ทุกครั้งที่เห็นเบอร์เขาโทรมาก็อดดีใจตาโตเป็นไข่ห่านไม่ได้ รีบรับสายกระดิกหางเหมือนหมาที่ดีใจเมื่อได้เห็นเจ้านาย และปลอบใจตัวเองว่าเขาคงคิดถึงเราบ้างถึงโทรหาเรา แต่ความจริง เขาคงเหงาและไม่มีใครในขณะนั้นเลยนึกถึงเรา มันน่าเศร้านะ (แต่กรณีผม โทรไปยังไม่รับเลย อย่าหวังว่าเขาจะโทรมา)

6. ของขวัญทุกชิ้นโยนมันทิ้ง อย่าเก็บไว้เพราะมันจะทำให้เราหลอกตัวเองให้นึกถึงว่าอย่างน้อยก็มีช่วงเวลาหนึ่งที่มีความสุข ความรักด้วยกัน ของขวัญนั้นเป็นสื่อแทนใจ บอกตัวเองว่าตอนนี้เขาสะบัดตูดทิ้งเราไปแล้ว ความดีบวกลบความเลวที่เขาทิ้งเราไป ผลลัพท์ก็คือ"ความว่างเปล่า" เก็บไปก็ลกหัวใจ

7. อย่าได้ใจอ่อนเมื่อเขามาเคาะประตู เดาได้เลยเขามาเพราะไม่มีใคร ทุกข์ใจ แฟนทิ้ง สารพัดปัญหาที่เขามี ถ้ามีความสุขเขาจะคิดถึงเรามั้ย ไม่เห็นแม้แต่เงาหัว แต่พอมีทุกข์ เขาจะรีบวิ่งเต้นมาหาเราก่อน เพราะเขารู้ดีว่าคนเชื่องๆอย่างเราพร้อมกระดิกหางดีใจเสมอที่เห็นหน้าเขา อย่าริอาจเล่นบทนางเอก เมื่อก่อนเขายังกล้าทิ้งเราให้ทนอยู่อย่างโดดเดี่ยวเจ็บปวดได้ ให้เขาได้เรียนรู้ถึงความเจ็บปวดคนเดียวบ้าง ปล่อยให้นอนหน้าประตูแหล่ะดีแล้ว

8. อย่าแสดงความอ่อนแอ อย่าแสดงถึงความอ่อนแออ่อนไหว อย่าให้เขารับรุ้ว่าลึกๆแล้วเรายังไม่ลืมและรักเขาเสมอ ไม่งั้นเราจะกลายเป็นของตายของเขาตลอดไป แล้วถ้าเขารู้ว่าเรายังมีใจกับเขาอยู่ เขาก็มักจะมาเล่นสนุกกับความรู้สึกของเรา พวกนี้โรคจิต สนุกบนความทุกข์ของเรา

9. อย่าฟังเพลงที่เคยฟังร่วมกัน หรือเพลงของเราสองคน มันไม่มีคำว่าเราสองคนอีกต่อไป เหลือเราคนเดียว เพลงรักความหมายดีๆที่เคยมอบให้กัน อย่าไปฟัง น้ำตานองได้ง่ายๆ ท่องไว้เสมอว่าไม่เหลือเขาอีกแล้ว เหลือเราคนเดียวที่ต้องเดินหน้าต่อไปแม้จะโดดเดี่ยว เหงาแทบขาดใจ เพลงเหล่านั้นมีแต่จะตอกย้ำให้เรายิ่งเจ็บปวด (แต่ผมก็อดที่จะเปิดฟังไม่ได้เช่นกัน ฟังมันทั้งน้ำตา)

10. ไม่ว่าจะสักกี่ข้อห้าม พยายามเท่าไหร่ แต่ตราบใดที่ภายในใจเรายังไม่สามารถตัดภาพเขาออกจากความคิดไปได้ มันก็เปล่าประโยชน์ใด ทำไปก็เสียแรงเปล่า(เหมือนคนเขียน ก็ไม่สามารถทำได้) ถ้าอย่างนั้นข้อที่ 10 นี้คือบทสรุป ว่าอย่าไปคิดถึงเขา เขาไปตามทางที่เขาเลือกว่าเป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเขา ทำบุญใส่บาตรกรวดน้ำอุทิศกุศลและอโหสิกรรม ชาตินี้และชาติหน้าอย่าติดค้างกันอีกเลย

วันอังคารที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2555

10 อันดับประเทศ อากาศดีที่สุดในโลก

ก่อนอื่นต้องบอกว่า “10 ประเทศอากาศดีที่สุดในโลก” ในที่นี้ ไม่ได้หมายถึงประเทศที่มีอากาศบริสุทธิ์หรือเป็นแหล่งโอโซน แต่เป็นประเทศที่มีสภาพอากาศเอื้ออำนวยต่อการอพยพย้ายถิ่นฐาน ไม่ว่าจะเป็นการย้ายไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ ย้ายไปใช้ชีวิตบั้นปลายหลังเกษียณ หรือเมื่อต้องการซื้อบ้านหลังที่สอง เป็นต้น
ทั้ง 10 ประเทศที่จะกล่าวถึงต่อไปนี้ มีสภาพอากาศโดยรวมที่ไม่แปรปรวน ไม่ร้อนหรือหนาวจัดจนเกินไป และไม่ใช่ประเทศที่อยู่ในเขตมรสุมที่มีฝนตกชุกตลอดทั้งปี (แม้ว่าภายในประเทศนั้นๆ จะมีบางพื้นที่ ที่หนาวจัด ร้อนจัด หรือฝนตกชุก แต่ก็สามารถเลือกอยู่ในเมืองที่มีอากาศดีกว่าได้)
บทความนี้จัดทำขึ้นโดย “อินเตอร์ เนชั่นแนล ลีฟวิ่ง” ผู้เชี่ยวชาญและที่ปรึกษาด้านการใช้ชีวิตวัยเกษียณในต่างแดน ซึ่งได้ทำการสำรวจและนำมาเผยแพร่ให้สมาชิก ตลอดจนผู้ที่ต้องการย้ายถิ่นฐานไปอยู่ต่างประเทศได้นำไปใช้เป็นข้อมูลประกอบการพิจารณา (ถึงไม่มีแผนโยกย้าย แต่อ่านแล้วได้ความรู้เพิ่มเติมนะ…จะบอกให้)

1. สาธารณรัฐมอลตา
สำหรับบางท่าน “มอลตา” อาจเป็นประเทศที่ไม่ค่อยคุ้นเคยหรือแทบไม่เคยนึกถึงซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เพราะแม้แต่คนอเมริกันส่วนใหญ่ก็แทบไม่เคยได้ยินหรือรู้จักประเทศมอลตาเลย (ที่นั่นมีคนไทยอาศัยอยู่ และมีร้านอาหารไทย 2 ร้าน – ข้อมูลจากกระทรวงต่างประเทศ)
สาธารณรัฐมอลตา   เป็นประเทศหมู่เกาะที่ตั้งอยู่ในทะเลเมดิเตอร์เรเนียนทางตอนใต้ของยุโรป  (ถัดลงมาทางตอนใต้ของประเทศอิตาลี)  โดยอยู่ห่างจากเกาะซิซิลีของประเทศอิตาลีราว 60 ไมล์ (97 ก.ม.)
สภาพอากาศที่มอลตาถือว่าดีมากเมื่อเทียบกับประเทศส่วนใหญ่ในยุโรป กล่าวคือ มีอุณหภูมิเฉลี่ย 21 องศาเซลเซียสในเวลากลางวัน มีแสงแดดเฉลี่ยวันละ 5.2 ช.ม. ไม่เว้นแม้กระทั่งในเดือนธันวาคม (ขณะที่หลายประเทศในแถบยุโรปกำลังมีหิมะตก หนักและต้องเผชิญกับสภาพอากาศที่หนาวเหน็บ แต่มอลตากลับแทบไม่เคยได้สัมผัสหิมะเลย) อย่างไรก็ตาม มอลตาอาจมีฝนตกหนักบ้างบางช่วง แต่มักเกิดขึ้นเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ เท่านั้น
น่าเสียดายที่เกาะมอลตามีหาดทรายไม่กี่แห่ง แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาเพราะบนเกาะมอลตามีกิจกรรมให้ทำมากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงฤดูร้อนซึ่งจะมีงานรื่นเริงให้ร่วมเฉลิมฉลองกันอย่างสนุกสนาน และมีการจุดดอกไม้ไฟอย่างยิ่งใหญ่ตระการตา
หากคุณเป็นคนหนึ่งที่ชื่นชอบการดำน้ำและล่องเรือใบ มอลตาจะเป็นสวรรค์สำหรับคุณ แต่ถ้าใครไม่ค่อยปลื้มกีฬาทางน้ำก็ยังมีกิจกรรมอื่นๆ ให้ทำอีกมากมาย อาทิ ตีกอล์ฟ ขี่ม้า แข่งวิ่ง ฯลฯ หรือถ้าชอบดูหนัง ฟังเพลงคลาสสิก ท่ามกลางบรรยากาศเก่าๆ แบบย้อนยุค ในเมืองหลวงของมอลต้าที่มีชื่อว่า “วัลเลตตา” ยังเป็นที่ตั้งของโรงภาพยนตร์เก่าแก่เป็นอันดับ 2 ของยุโรป  ซึ่งที่นั่นจะมีการแสดงโอเปร่า  ละครเวที ฉายภาพยนตร์ รวมถึงการแสดงดนตรี และบัลเล่ต์ ให้ชมกันอย่างจุใจตลอดช่วงเดือนตุลาคม-พฤษภาคม

2. สาธารณรัฐเอกวาดอร์

เอกวาดอร์ อยู่ทางฝั่งตะวันตกเฉียงเหนือของทวีปอเมริกาใต้ โดยตั้งอยู่ในบริเวณเส้นศูนย์สูตร พรมแดนทางตอนเหนือจรดโคลัมเบีย ทางตะวันออกและทางใต้ติดกับประเทศเปรู และมีชายฝั่งทางตะวันตกติดมหาสมุทรแปซิฟิก
ด้วยความที่ตั้งอยู่บริเวณเส้น ศูนย์สูตร เอกวาดอร์ (ทั้งประเทศ) จึงได้รับแสงแดดแบบเต็มๆ ถึง 12 ช.ม. ต่อวัน และ 365 วันต่อปี แต่เนื่องจากเอกวาดอร์มีสภาพภูมิประเทศที่แตกต่างกัน 3 ลักษณะ กล่าวคือประกอบด้วย พื้นที่ๆ เป็นภูเขา ป่าฝน และพื้นที่แถบชายฝั่งทะเลแปซิฟิก ดังนั้นในแต่ละพื้นที่จึงมีสภาพอากาศที่แตกต่างกัน
ตัวอย่างเช่น เมืองหลวงของประเทศเอกวาดอร์ที่มีชื่อว่า “กิโต้” ซึ่งตั้งอยู่ในเซ็นทรัล วัลเล่ย์ และถูกโอบล้อมโดยแนวเขาแอนเดรีย (บนเทือกเขาแอนดีส) ทั้งทางทิศตะวันออกและตะวันตก โดยมีเส้นศูนย์สูตรพาดผ่านห่างไปทางตอนเหนือของเมืองเพียง 20 ไมล์ (32  ก.ม.) ทั้งยังอยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเลถึง 9,350 ฟุต (2,849 เมตร) [เป็นเมืองหลวงที่อยู่สูงที่สุดเป็นอันดับ 2 ของโลก] ทำให้กิโต้มีสภาพอากาศเหมือนอยู่ในฤดูใบไม้ผลิตลอดทั้งปี โดยมีอุณหภูมิเฉลี่ยที่ประมาณ 24 องศาเซลเซียสในเวลากลางวัน และ 10-13 องศาเซลเซียสในช่วงเวลากลางคืน
อากาศที่เมืองกิโต้นั้นค่อนข้างแห้ง และไม่มียุง โดยปกติในช่วงเวลากลางวันคุณสามารถออกไปเดินเล่นข้างนอกโดยสวมเพียงเสื้อยืด กางเกงขาสั้น แต่บางวันอาจถึงกับต้องสวมเสื้อกันหนาวขนสัตว์ หากมีเมฆหนาปกคลุมจนบดบังแสงอาทิตย์ไปทั่วทั้งเมือง (อย่าลืมว่ากิโต้เป็นเมืองหลวงที่อยู่สูงเป็นอันดับ 2 ของโลก จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะใช้ชีวิตบนความสูงระดับเดียวกับเมฆ) ดังนั้น หากใครชื่นชอบสภาพอากาศที่ค่อนข้างอบอุ่น ก็ต้องไปอาศัยอยู่ในเมืองแถบชายฝั่งทะเล

 3. สาธารณรัฐเม็กซิโก


เม็กซิโกตั้งอยู่ทางตอนใต้ของสหรัฐอเมริกา ทิศเหนือติดสหรัฐฯ ทิศใต้ติดกัวเตมาลาและเบลิซ ทิศตะวันออกติดอ่าวเม็กซิโกและทะเลแคริบเบียน ส่วนทิศตะวันตกติดมหาสมุทรแปซิฟิกและอ่าวแคลิฟอร์เนีย
ประเทศเม็กซิโกมีสภาพอากาศที่หลากหลาย ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความสูงของพื้นที่ ตลอดจนกระแสลมและน้ำในมหาสมุทรแปซิฟิก… พื้นที่ บริเวณชายฝั่งของประเทศเม็กซิโกจะมีสภาพภูมิอากาศแบบเขตร้อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณแหลมยูกาตังและพื้นที่ลุ่มต่ำทางตอนใต้ของประเทศ ส่วนพื้นที่ๆ อยู่บนความสูงเหนือระดับน้ำทะเลตั้งแต่ 900 เมตรขึ้นไปจะมีสภาพอากาศที่ค่อนข้างเย็น

ปริมาณน้ำฝนโดยเฉลี่ยของเม็กซิโกจะอยู่ที่ประมาณ 40 นิ้ว และในบางช่วงของปีพื้นที่บริเวณอ่าวเม็กซิโก รวมถึงบริเวณชายฝั่งทะเลแคริบเบียนและแปซิฟิกอาจมีพายุเฮอร์ริเคนเกิดขึ้น ได้ ส่วนในบางพื้นที่แถบบาฮา และทางตอนเหนือของประเทศกลับแทบไม่มีฝนตกเลยตลอดทั้งปี


4. สาธารณรัฐโคลัมเบีย



โคลัมเบีย ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของทวีปอเมริกาใต้ ทิศเหนือติดทะเลแคริบเบียน ทิศตะวันออกติดเวเนซุเอลาและบราซิล ทิศใต้ติดเปรูและเอกวาดอร์ ทิศตะวันตกติดมหาสมุทรแปซิฟิกและปานามา
เนื่องจากประเทศโคลัมเบีย ตั้งอยู่ ใกล้เส้นศูนย์สูตร สภาพอากาศโดยทั่วไปจึงมีลักษณะร้อนชื้นและมีอุณหภูมิคงที่ตลอดทั้งปี หากจะมีอุณหภูมิแตกต่างไปจากเดิมบ้าง (เพียงเล็กน้อย) ก็มีสาเหตุอันเนื่องมาจากฝนตกนั่นเอง
ระดับอุณหภูมิของโคลัมเบียจะเริ่มตั้งแต่ร้อนมากบนพื้นที่ระดับน้ำทะเล และจะค่อยๆ มีอุณหภูมิต่ำลงบนพื้นที่ๆ ที่อยู่สูงขึ้นไป โดยพื้นที่ทางด้านตะวันออกของชายฝั่งทะเลแคริบเบียนและแปซิฟิก จะมีอุณหภูมิและความชื้นสูงตลอดทั้งปี มีปริมาณน้ำฝนต่อปีโดยเฉลี่ย 40 นิ้ว ส่วนพื้นที่บนภูเขาอากาศจะเย็นลงโดยมี ลม ระดับความสูง และลักษณะภูมิประเทศเป็นตัวแปรที่สำคัญ
สำหรับโบโกตา ซึ่งเป็นเมืองหลวงของโคลัมเบีย ตั้งอยู่บนความสูงเหนือระดับน้ำทะเล 8,660 ฟุต (2,640 เมตร) ที่นั่นจะมีฝนตกโดยเฉลี่ย 223 วันต่อปี และมีอุณหภูมิเฉลี่ยที่ 14 องศาเซลเซียส ส่วนอุณหภูมิเฉลี่ยตลอดทั้งปีจะอยู่ที่ 15 องศาเซลเซียส



5. ประเทศออสเตรเลีย
ออสเตรเลีย เป็นประเทศที่ประกอบด้วยแผ่นดินหลักของทวีปออสเตรเลีย เกาะแทสเมเนีย รวมถึงเกาะอื่นๆ ในมหาสมุทรอินเดีย แปซิฟิก และมหาสมุทรใต้ ประเทศนี้มีสภาพอากาศที่หลากหลาย แต่เนื่องจากพื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศเป็นทะเลทรายที่แห้งแล้งและทุรกันดาร(มีขนาดทะเลทรายรวมกันใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลกรองจากทะเลทรายซาฮาราในทวีปแอฟริกา – วิกิพีเดีย) พื้นที่ราว 40% จึงถูกปกคลุมด้วยเนินทราย
คงมีเพียงดินแดนทางตอนใต้ด้านตะวันออกและตะวันตก (มุมล่างขวามือสีฟ้าของแผนที่ประเทศ ) เท่านั้นที่อากาศเย็นและมีผืนดินที่ค่อนข้างอุดมสมบูรณ์  ส่วนทางตอนบนของประเทศมีสภาพอากาศแบบเขตร้อน (สีเขียว) บางพื้นที่เป็นป่าฝน ขณะที่บางส่วนมีอากาศร้อนชื้นแบบศูนย์สูตร (สีน้ำตาล) นอกนั้นเป็นเขตทุ่งหญ้า (สีเหลือง) และทะเลทราย (สีส้ม) อันกว้างใหญ่ไพศาล

 ชาวออสเตรเลียส่วนใหญ่อาศัยอยู่บริเวณ ชายฝั่งทางด้านตะวันออกซึ่งมีสภาพอากาศค่อนข้างเย็น และอุดมสมบูรณ์ พื้นที่ส่วนใหญ่ของออสเตรเลียมีแดดออกโดยเฉลี่ยมากกว่า 3,000 ช.ม./ปี โดยในช่วงฤดูร้อน (ธ.ค.-มี.ค.) ที่นั่นจะมีอุณหภูมิเฉลี่ยประมาณ 29 องศาเซลเซียส ส่วนในช่วงฤดูหนาว (มิ.ย.-ส.ค.) จะมีอุณหภูมิโดยเฉลี่ยที่ 13 องศาเซลเซียส
อย่างไรก็ตาม เมื่อเทียบกับทวีปอื่นๆ จะพบว่าออสเตรเลียเป็นทวีปที่แห้งแล้งมาก พื้นที่กว่า 80% ของประเทศมีปริมาณน้ำฝนน้อยกว่า 600 ม.ม.ต่อปี คงมีเพียงทวีปแอนตาร์กติกาเท่านั้น ที่มีปริมาณน้ำฝนน้อยกว่าทวีปออสเตรเลีย จึงเหมาะสำหรับเป็นที่อยู่อาศัยของผู้ที่ชื่นชอบอากาศเย็น และไม่ชอบความเปียกชื้นเฉอะแฉะของฤดูฝน
6. ประเทศอุรุกวัย

อุรุกวัย เป็นประเทศเล็ก ๆ ที่ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของทวีปอเมริกาใต้ ทิศเหนือมีอาณาเขตติดกับประเทศบราซิล ทิศตะวันตกจรดแม่น้ำอุรุกวัย ทิศตะวันตกเฉียงใต้จรดปากแม่น้ำรีโอเดลาปลาตา  ส่วนทางด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้จรดมหาสมุทรแอตแลนติกใต้
ประเทศอุรุกวัยมีสภาพอากาศแบบกึ่งร้อน และชื้นในบางพื้นที่ ทั้งยังมีฝนตกบ้างประปราย อย่างไรก็ตาม สภาพอากาศของอุรุกวัยในแต่ละพื้นที่จะไม่แตกต่างกันมากนัก และเนื่องจากประเทศนี้ไม่มีภูเขาจึงทำให้มีกระแสลมไหลเวียนมาจากภูมิภาค อื่นๆ เช่น ในช่วงฤดูร้อนอากาศจะอุ่นถึงร้อน เพราะได้รับอิทธิพลของลมร้อนที่พัดมาจากประเทศบราซิล ส่วนในช่วงฤดูหนาวอากาศจะเย็นถึงหนาว โดยมีกระแสลมที่พัดมาจากขั้วโลกเป็นตัวแปรสำคัญ


ที่สำคัญ อุรุกวัย ไม่มีหิมะ (แต่เคยมีหิมะตก 2 ครั้งในประวัติศาสตร์) ไม่เคยเกิดเฮอร์ริเคน สึนามิ แผ่นดินไหว และไม่มีสภาพอากาศที่หนาวจัด จึงสามารถเดินทางไปเยือนได้ตลอดเวลา แต่เดือนกันยายน-เมษายน จะเป็นช่วงที่มีอากาศดีที่สุด
โดยในช่วงฤดูร้อน ที่อุรุกวัยจะมีอุณหภูมิเฉลี่ยประมาณ 22 องศาเซลเซียส (วัดช่วงเดือน ม.ค.-ก.พ.) ส่วนฤดูหนาวซึ่งเริ่มตั้งแต่เดือนมิถุนายน-กันยายน จะมีอุณหภูมิเฉลี่ย 11 องศาเซลเซียส (วัดช่วงเดือน ก.ค.-ส.ค)


7. สาธารณรัฐอาร์เจนตินา

ประเทศอาร์เจนตินา ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของทวีปอเมริกาใต้ มีพรมแดนด้านตะวันตกติดกับชิลี ทิศเหนือและตะวันออกเฉียงเหนือติดปารากวัย โบลิเวียและบราซิล ส่วนทิศตะวันออกติดกับอุรุกวัยและมหาสมุทรแอตแลนติก
อาร์เจนตินา เป็นอีกหนึ่งประเทศที่มีสภาพอากาศหลากหลายและแตกต่างกันไปในแต่ละพื้นที่ นับตั้งแต่กึ่งร้อนกึ่งอบอุ่น ฝนตกชุก ไปจนถึงขั้นมีหิมะตก โดยตอนเหนือของประเทศจะมีลักษณะอากาศแบบกึ่งร้อน ขณะที่ตอนกลางอากาศจะร้อนชื้น ส่วนทางตอนใต้ของประเทศจะมีสภาพอากาศหนาวเย็น โดยเฉพาะบริเวณตอนใต้สุดของประเทศ ซึ่งจะมีลักษณะอากาศแบบแอนตาร์กติก (เป็นน้ำแข็งตลอดทั้งปี)\

ส่วนพื้นที่ในแถบเทือกเขาแอนดีสจะมี สภาพอากาศที่หลากหลาย ทั้งฝนตก น้ำท่วมฉับพลันในช่วงฤดูร้อน  (แถบตะวันออก) อากาศร้อนจัด หิมะตกบริเวณที่สูง และเกิดลมซอนด้า (ลมร้อนและแห้ง มักหอบฝุ่นผงจากพื้นดินขึ้นมาด้วย) เป็นต้น
สำหรับสภาพอากาศในช่วงฤดูหนาวที่ อาร์เจนตินานั้นจะหนาวแบบแห้งๆ ส่วนในช่วงฤดูร้อนอากาศจะร้อนจัด และที่น่ามหัศจรรย์ก็คือ ในช่วงกลางของฤดูหนาว (เดือนมิถุนายน) จะเกิดปรากฏการณ์ “ซาน ควน ซัมเมอร์” ที่อยู่ๆ อุณหภูมิก็สูงขึ้นผิดปกติเสมือนเป็นฤดูร้อนประมาณ 3-7 วัน ชาวอาร์เจนตินาจึงมักพากันออกมานอนอาบแสงแดดอันร้อนแรง ณ บริเวณจตุรัสใจกลางเมือง ทั้งๆ ที่กำลังอยู่ในช่วงกลางฤดูหนาว


8. สาธารณรัฐแอฟริกาใต้


สาธารณรัฐแอฟริกาใต้ เป็นประเทศอิสระที่อยู่ตอนปลายทางใต้สุดของทวีปแอฟริกา มีพรมแดนติดกับ ประเทศนามิเบีย ประเทศบอตสวานา ประเทศซิมบับเว ประเทศโมซัมบิก และ ประเทศสวาซิแลนด์ – วิกิพีเดีย
แอฟริกาใต้เป็นอีกประเทศที่มีสภาพภูมิ อากาศหลากหลาย นับตั้งแต่สภาพอากาศแบบเมดิเตอร์เรเนียนทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ กึ่งร้อนทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ไปจนถึงอากาศหนาวเย็นบริเวณที่ราบสูงตอนใน และสภาพอากาศแบบทะเลทรายทางฝั่งตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศ
อย่างไรก็ตาม พื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศแอฟริกาใต้จะมีอากาศแบบอบอุ่น แดดร้อนในตอนกลางวัน อากาศเย็นในยามค่ำคืน และมีฝนตกในช่วงฤดูร้อน (พ.ย.-มี.ค.) ขณะที่บริเวณตอนล่างทางฝั่งตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศ หรือแถวๆ เมืองเคปทาวน์ (ภาพบน) กลับจะมีฝนตกในช่วงฤดูหนาว (มิ.ย.-ส.ค.)


อย่างไรก็ตาม สภาพอากาศทางตอนเหนือและใต้ของประเทศแอฟริกาใต้มักไม่ค่อยแตกต่างกันมากนัก โดยเคปทาวน์ซึ่งเป็นเมืองหลวงที่ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของประเทศ มีอุณหภูมิเฉลี่ยทั้งปีที่ 17 องศาเซลเซียส ขณะที่พรีโทเรียซึ่งตั้งอยู่ทางตอนเหนือ  (อุดมไปด้วยดอกไม้สีม่วง) มีอุณหภูมิเฉลี่ยตลอดทั้งปีที่ 17.5 องศาเซลเซียส



9. สาธารณรัฐอิตาลี

อิตาลี ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของทวีปยุโรปและตอนเหนือของแอฟริกา โดยมีลักษณะเป็นคาบสมุทรยื่นออกไปในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน พื้นที่ร้อยละ 75 เป็นภูเขาและที่ราบสูง ทิศเหนือติดประเทศสวิตเซอร์ แลนด์และออสเตรีย ทิศใต้ติดทะเลเมดิเตอร์เรเนียนและทะเลไอโอเนียน ทิศตะวันตกติดประเทศฝรั่งเศสและทะเลไทเรเนียน ทิศตะวันออกติดทะเลอาเดรียติก และอยู่ตรงข้ามกับสโลเวเนีย โครเอเชีย บอสเนีย มอนเตเนโกร และแอลเบเนีย
อิตาลีถือเป็นอีกหนึ่งประเทศในแถบ ยุโรปที่มีอากาศดี แต่จะมีลักษณะอากาศที่หลากหลายและแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงในแต่ละพื้นที่ โดยในช่วงฤดูหนาวที่บริเวณอิตาเลียน แอลป์ส อากาศจะหนาวเย็น ท้องฟ้าปลอดโปร่ง และมีหิมะตก  ขณะที่มิลานมักมีหมอกหนา ส่วนที่โป วัลเลย์ อากาศจะหนาวและชื้น  แต่โดยทั่วไปในช่วงฤดูหนาวที่อิตาลีมักมีหมอกลงหนาใน แถบภาคกลางและภาคเหนือของประเทศ


บริเวณที่มีอากาศในช่วงฤดูหนาวดีที่ สุดคือ แถบชายฝั่งอามัลฟี หรือที่เรียกว่า “อิตาเลี่ยน ริเวียร่า” รวมทั้งที่หมู่เกาะซิซิลีและซาร์ดิเนีย เพราะบริเวณดังกล่าวอากาศจะไม่หนาวมาก และไม่มีฝนตกหนัก ส่วนในช่วงฤดูร้อน ยิ่งลงไปทางตอนใต้ของประเทศมากเท่าไหร่ อากาศก็ยิ่งร้อนมากขึ้นเท่านั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแคว้นปูเกลีย (ส่วนที่มีลักษณะเหมือนส้นสูงของรองเท้าบูทในแผนที่) ซึ่งจะมีอุณหภูมิเฉลี่ยประมาณ 27 องศาเซลเซียสในเดือนสิงหาคม

บริเวณที่มีอากาศในช่วงฤดูหนาวดีที่ สุดคือ แถบชายฝั่งอามัลฟี หรือที่เรียกว่า “อิตาเลี่ยน ริเวียร่า” รวมทั้งที่หมู่เกาะซิซิลีและซาร์ดิเนีย เพราะบริเวณดังกล่าวอากาศจะไม่หนาวมาก และไม่มีฝนตกหนัก ส่วนในช่วงฤดูร้อน ยิ่งลงไปทางตอนใต้ของประเทศมากเท่าไหร่ อากาศก็ยิ่งร้อนมากขึ้นเท่านั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแคว้นปูเกลีย (ส่วนที่มีลักษณะเหมือนส้นสูงของรองเท้าบูทในแผนที่) ซึ่งจะมีอุณหภูมิเฉลี่ยประมาณ 27 องศาเซลเซียสในเดือนสิงหาคม
10. สาธารณรัฐฝรั่งเศส

ฝรั่งเศส ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของทวีปยุโรป ทิศเหนือติดกับช่องแคบอังกฤษ ประเทศเบลเยียม และลักเซมเบิร์ก ทิศตะวันออกติดกับเยอรมนี สวิตเซอร์แลนด์ และอิตาลี ทิศตะวันตกติดกับมหาสมุทรแอตแลนติก ส่วนทิศใต้ติดกับทะเลเมดิเตอร์เรเนียน อันดอร์รา และสเปน
โดยทั่วไปฝรั่งเศสเป็นประเทศที่มีอากาศเย็น แต่ก็มีสภาพอากาศที่หลากหลายและแตกต่างกันไปในแต่ละภูมิภาค อุณหภูมิเฉลี่ยในช่วงฤดูหนาวจะอยู่ที่ประมาณ 0-7 องศาเซลเซียส ส่วนในช่วงฤดูร้อนจะมีอุณหภูมิเฉลี่ย 16-24 องศาเซลเซียส



หากใครชื่นชอบอากาศอบอุ่นและแสงแดด เจิดจ้า ขอแนะนำให้ไปที่แคว้นมีดี (Midi) ซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของประเทศฝรั่งเศส หรือไม่ก็ไปที่แคว้นโพรวองซ์และแคว้น ลองเกอด็อก ที่ในช่วงฤดูหนาวอากาศจะไม่หนาวจัด ส่วนในช่วงฤดูร้อนอากาศจะร้อนเอาเรื่อง (สำหรับฝรั่ง) เลยทีเดียว
สำหรับเมืองที่อยู่ทางตอนกลางและค่อน ไปทางด้านทิศเหนืออย่างกรุงปารีสนั้น จะมีสภาพอากาศค่อนข้างเย็นและมักมีฝนตก แต่อากาศจะค่อนข้างร้อนในช่วงฤดู ร้อน ส่วนพื้นที่ในแถบตะวันออกอย่างแคว้นอัลซาซ (เมืองหลวงคือ สตราสบูร์ก) แคว้นลอร์แรน รวมถึงบริเวณเทือกเขาแอลป์ เทือกเขาปีเรเนส์ และที่ราบสูงมาสซิฟ ซองตราล จะมีสภาพอากาศที่หนาวเย็นจัดในช่วงฤดูหนาว


วันเสาร์ที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2555

ตุ๊กตาหมีเท็ดดี้แบร์ที่แพงที่สุดในโลก ( Most expensive Teddy Bear )


ตุ๊กตาหมีเท็ดดี้แบร์ที่แพงที่สุดในโลก ( Most expensive Teddy Bear )




บริษัท Steiff จึงเป็นบริษัทผลิตหมีเท็ดดี้แบร์ที่ประเทศเยอร์มัน ได้กล่าวยืนยันว่านี้เป็นการผลิต ตุ๊กตาหมีเท็ดดี้แบร์ที่แพงที่สุดในโลก เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองเนื่องในโอกาศ 125 ปีของหมีเท็ดดี้แบร์ โดยหมีเท็ดดี้แบร์ตัวนี้ผลิตจากวัสดุราคาแพงจำนวนมากดังรายการดังต่อไปนี้
  • ปากทำจากทองคำ
  • เส้นขนทำจากเส้นด้ายทองคำ
  • ดวงตา ส่วนที่เป็นตาดำทำจากหินแซฟไฟร์ ( Sapphire ) ส่วนรอบที่เป็นตาขาวทำจากเพชร



และด้วยวัสดุราคาแพงจำนวนมากจึงทำให้เจ้าหมีตัวนี้มีราคา 62,446 ยูโร (ประมาณ 84,000 เหรียญยูเอส) หากคุณกระเป๋าหนักพอ ยังต้องการเพิ่มเติมอะไรอีกทางบริษัท Steiff ก็พร้อมจะผลิตตามออเดอร์ ได้ตามที่คุณต้องการ
หมีเท็ดดี้แบร์บวก Option ที่แพงที่สุดในโลก

บนเกาะ JeJu ประเทศเกาหลีใต้ เป็นที่ตั้งของ พิพิธภัณฑ์หมีเท็ดดี้แบร์ และมีหมีเท็ดดี้แบร์อีกหลายตัวที่มีราคาแพง จากเครื่องแต่งตัวต่างๆดังนี้




ตุ๊กตาหมีเท็ดดี้แบร์ กับชุดแต่งกายจาก Louis Vuiton โดยกระเป๋าเดินทาง และเสื้อคลุม เป็นสินค้าสั่งทำโดยเฉพาะสำหรับหมีตัวนี้โดยเฉพาะจึงทำให้มัน มีมูลค่า 229,000 เหรียญสหรัฐ


หมีเท็ดดี้แบร์ ชวารอฟกี้ มูลค่า 10,566.4 ดอลล่าร์